วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ขายก้อนเชื้อเห็ดทั่วจังหวัดนราธิวาส และจังหวัดใกล้เคียง


ขายก้อนเชื้อเห็ดทั่วจังหวัดนราธิวาส และจังหวัดใกล้เคียง


เรากลุ่มนักศึกษาวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนราธิวาส (เกษตรป่าไผ่) ได้รวมกลุ่มผลิตเห็ดและก้อนเชื้้อเห็ดขึ้นเพื่อจำหน่ายเป็นการหารายได้ระหว่างกำลังศึกษา และสร้างทักษะประสบการณ์ให้เกิดขึ้นกับตัวนักศึกษา มีผลผลิตก้อนเชื้อเห็ดเป็นจำนวนมากที่กำลังรอการจำหน่าย และรับสั่งผลิตตามความต้องการของลูกค้า
สนใจติอต่อ : นายชำนาญร์  เพ็ชรรัตน์
โทร : 0828239609 , 0828239609
หรือที่ : วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนราธิวาส (เกษตรป่าไผ่) 102 หมู่ 5 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส

ช่องทางการตลาดเห็ด


ตลาดเห็ด
หัวใจของทุกธุรกิจ คือ ทำสินค้าและบริการออกมาต้องขายได้ และที่สำคัญต้องมีกำไรด้วย

ธุรกิจฟาร์มเห็ด ก็หนีไม่พ้นความจริงข้อนี้

คนที่สนใจจะก้าวเข้าสู่ธุรกิจเพาะเห็ด จึงมักตั้งคำถามว่าเพาะเห็ดขึ้นมาแล้วจะไปขายใคร ขายที่ไหน

คำตอบเรื่องนี้ผูกติดกับคำว่า Business Model ของแต่ละคน

การเพาะเห็ดไม่จำเป็นต้องจบด้วยการขายดอกเห็ดสดอย่างเดียวเสมอไป

Business Model เป็นเรื่องสำคัญที่สุดของทุกธุรกิจ จึงอยากจะเชิญให้ผู้ที่สนใจธุรกิจฟาร์มเห็ดเข้าไปอ่านบทความนี้ ( Business Model เห็ด)

ลองอ่านและทำความเข้าใจดูครับ ผมเชื่อแน่ว่าทุกท่านน่าจะได้กรอบความคิดดีๆในการทำฟาร์มเห็ด

สำหรับตอนนี้ จะขอพูดถึงเฉพาะช่องทางตลาดและการจัดจำหน่าย "ดอกเห็ดสด" เพียงอย่างเดียวก่อน
จากข้อมูลที่เก็บรวบรวมจากฟาร์มเห็ดหลายๆแห่ง ช่องทางการจัดจำหน่ายแบ่งออกได้เป็น 3 ช่องหลักๆ คือ
1. ตลาดทั่วไป (General Market Channel)
ขอแบ่งซอยย่อยลงไปอีก 4 กลุ่ม

1.1 ตลาดค้าส่งขนาดใหญ่ เช่น ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง

ข้อดี
เล่น volume ได้ ปริมาณการสั่งซื้อเยอะ เหมาะสำหรับฟาร์มเห็ดขนาดใหญ่

ข้อเสีย
คือ ราคาจะต่ำหน่อย ซึ่งเป็นไปตามกฏ demand และ supply และมีค่า logistics ค่อนข้างสูงหากฟาร์มตั้งอยู่ห่างจากตลาดเป็นระยะทางไกลๆ และที่สำคัญต้องดูแลให้มี supply ที่สม่ำเสมอ

1.2 ตลาดท้องถิ่น เช่น ตลาดสดใกล้บ้าน ร้านอาหาร

ข้อดี 

ระยะทางใกล้ ค่า logistic ไม่สูงมากนัก การแข่งขันด้านราคาก็ไม่รุนแรงมากนัก

margin หนากว่าแบบแรกพอสมควร ที่สำคัญจะได้เปรียบเรื่องความสดของเห็ด เห็ดจะอร่อยและกรอบกว่า เป็นที่ติดอกติดใจของผู้บริโภค

ข้อเสีย

ปริมาณซื้อ (Purchase Volume) ต่อรายต่ำ กว่าตลาดค้าส่งขนาดใหญ่

อยากให้ทำความเข้าใจเรื่อง Purchase Volume สักนิดครับ เนื่องจากผู้ซื้อระดับตลาดท้องถิ่นเป็นผู้ซื้อขนาดเล็ก ปริมาณที่ซื้อต่อรายจึงไม่สูงเท่าแบบตลาดค้าส่ง แต่เนื่องจากรายย่อยมีจำนวนเยอะ ยอดขายรวม ดีไม่ดีน่าตืนตาตื่นใจกว่าตลาดค้าส่งเสียอีก

คุณปู่ จาก Mushroom Plus แบ่งปันให้ฟังเมื่อตอนที่ให้เกรียติมาเป็น Special Guest ในการอบรมเพาะเห็ดรุ่นวันที่ 14-15 ม.ค 2555 คุณปู่บอกว่าตัวเขาเองเน้นการขายตลาดท้องถิ่นเป็นหลัก และย้ำว่าความต้องการ (Market Demand) ของตลาดท้องถิ่นมีสูงมาก Supply ยังมีไม่เพียงพอ เพราะ trend เรื่องสุขภาพมาแรง

หรือคุณโย นครไทย อดีตนักร้องลูกทุ่ง ที่เข้าอบรมกับทาง ifarm ก็เน้นขายเฉพาะในหมู่บ้านอย่างเดียว เน้นจุดขายเรื่องสุขภาพเป็นหลัก ได้รายได้ใช้ได้ทีเดียว เพราะสามารถตั้งราคาได้สูงกว่าตลาดสดทั่วไป

1.3 พ่อค้าคนกลาง

ข้อดี

ไม่ต้องทำการตลาดเอง ไม่ต้องวุ่นวายเรื่อง logistics เพราะพ่อค้า / แม่ค้าคนกลางมักจะวิ่งเข้ามารับเองถึงฟาร์ม รวบรวมจากหลายๆฟาร์ม เพื่อนำไปส่งตลาดใหญ่อีกที
ข้อเสีย 

Margin จะลดลงเล็กน้อย และการพึ่งแต่พ่อคนกลางอย่างเดียวก็ถือเป็นจุดเสี่ยงอย่างหนึ่งเหมือนธุรกิจอื่นๆ ทั่วไป

1.4 ตลาด Modern Trade

ตลาดนี้ถือเป็นตลาดในฝันของคนที่เริ่มจะเพาะเห็ดหลายคน คือ อยากได้เห็นสินค้าของตัวเองขายในห้างดังๆ ไม่ว่าจะเป็นเทสโก้ บิ๊กซี
ข้อดี 

เป็น reference ทีดี เป็นฐานในการสร้างแบรนด์ที่ดี เพราะเปรียบเสมือนได้รับการ endorse เรื่องคุณภาพจากลูกค้ารายใหญ่

ข้อเสีย 

เรื่องค่อนข้างยุ่งหลายอย่าง ทั้งเรื่องการทำ Retail Packing การกำหนดขนาดดอกเห็ด การจัดส่ง การชำระเงิน ที่สำคัญปริมาณการสั่งซื้อไม่ได้ใหญ่ไปตามชื่อเสียง

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่อยากให้ผู้เพาะเห็ดไป focus ตลาด Modern Trade มากเกินไป

2. ตลาดสถาบัน (Institutional Market Channel)

ช่องทางนี้หลายคนมองข้าม แต่ถือเป็น Promising Market ทีเดียว เช่น ร้านอาหารสุขภาพ ร้านอาหารติดแบรนด์ต่างๆ เช่น MK โรงพยาบาล โรงเจ บริษัทแปรรูปอาหาร หน่วยงานราชการ เป็นต้น

คุณอัญชลี จากภูเก็ต สมาชิกของ ifarm ขายดอกเห็ดส่งโรงเจในภูเก็ตเป็นหลัก ก็ยังส่งดอกเห็ดให้ไม่พอ

สมาชิกท่านหนึ่ง จากสงขลา ส่งผักชนิดต่างๆ รวมทั้งเห็ด โดยเฉพาะเห็ดฟางให้กับทาง MK ก่อนหน้านี้ ก็ซื้อจากที่อื่นไปส่ง ตอนหลังต้องตัดใจมาเรียนเพาะเห็ดฟางด้วยตัวเอง เพื่อจะได้คุมเรื่อง supply ได้

และสมาชิกอีกท่าน ก็เจาะตลาดเข้าไปที่กลุ่มโรงพยาบาล นำเสนอเรื่องสุขภาพ ก็ได้รับผลตอบรับที่ดีใช้ได้

ข้อดี 

การแข่งขันไม่สูงมากนัก ได้ราคาค่อนข้างดี

ข้อเสีย 

บางแห่งมีการกำหนด spec และคุณภาพดอกเห็ดพอสมควร ปริมาณการสั่งซื้อแต่ละครั้งปานกลาง

ช่องทางนี้ Margin หนาใช้ได้ แต่ต้องใส่ใจเรื่อง "คุณภาพ" สารเคมีห้ามใช้เด็ดขาด

3. ตลาดค้าปลีก | แสดงสินค้า

ข้อดี
ถ้าดูเฉพาะ Profit Ratio อย่างเดียว ช่องทางนี้กินขาด ผู้บริโภคก็ติดใจ เพราะเห็ดจะอร่อยมาก ได้ทั้งความสดและกรอบ เพราะส่วนใหญ่ผู้บริโภคจะมาซื้อเองถึงฟาร์ม

ข้อเสีย
ปริมาณการสั่งซื้อต่อรายไม่สูงมาก แต่อย่างที่บอกก่อนหน้านี้ รายได้รวมไม่ขี้เหร่เลยครับ

คุณอัพ จาก Up Farm (เคยเรียนเพาะเห็ดกับ ม. เกษตรผ่าน ifarm) ก็ focus ตลาดนี้เป็นหลัก

Up Farm จะตกแต่งฟาร์มสวยงาม สร้างฟาร์มเห็ดให้เหมือนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปด้วย นอกจากนี้ก็มีสินค้าอื่นๆ ขายคู่ไปกับเห็ดด้วย

หรือบางฟาร์มก็กระตุ้นยอดขายด้วยการออกงานแสดงสินค้าตามสถานที่ต่างๆ ทั้ง otop หน่วยงานราชการ งานประเภท Green Fair ต่างๆ 

การเพาะเห็ดหลินจือ


การเพาะเห็ดหลินจือ

เห็ดหลินจือหรือเห็ดหมื่นปี จัดเป็นเห็ดที่มีความสำคัญอย่างหนึ่งที่มีสรรพคุณทางด้านเภสัชหรือเป็นยารักษารักษาโรค เห็ดชนิดนี้สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย แต่ชาวบ้านทั่วไปจะรู้จักในนามของเห็ดจวักงู นอกจากนี้ยังได้มีการวิจัยศึกษาว่าเห็ดนี้สามารถลดครอเรสเตอรอลในเส้นเลือดได้
จากการที่ชาวจีนส่วนใหญ่เชื่อว่าเห็ดชนิดนี้เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้ผู้บริโภคมีอายุยืนยาว จึงเรียกชื่อเห็ดพวกนี้ว่าเห็ดหลินจือ ซึ่งคนไทยเรียกว่าเห็ดหมื่นปี เพื่อให้มีความหมายสอดคล้องกับคุณสมบัติของเห็ด โครงสร้างของเห็ดชนิดนี้ จะมีลักษณะแห้งและแข็งเหมือนเนื้อไม้ ถ้าหากนำดอกเห็ดมาชุบยากันแมลง แล้วอบให้แห้งจะสามารถเก็บเห็ดชนิดนี้ได้นานนับชั่วอายุคน แต่ไม่ใช่หมายความว่าดอกเห็ดหลินจือที่เจริญเติบโตฌติบโตตามธรรมชาติจะมีอายุถึงหมืนปี
ลักษณะธรรมชาติของเห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือจัดเป็นเห็ดที่เจริญเติบโตได้ดีในธรรมชาติ โดยเจริญเติบโตตามโคนไม้ ในเขตอบอุ่นและเขตร้อน จากการศึกษาพบว่า เห็ดหลินจือเจริญเติบโตได้ดีบนตอไม้ที่ตายแล้ว โดยเฉพาะ ต้นคูน ก้ามปู หางนกยูงฝรั่ง ยางพารา ฯลฯ แต่ในบางครั้งพบว่าเห็ดชนิดนี้เป็นปรสิตของรากพืช จึงทำให้นักวิชาการหลายท่านเป็นห่วงว่า ถ้าเห็ดพวกนี้แพร่ระบาดออกไป อาจจะทำลายป่าไม้หรือทำลายพืชผลบางชนิดได้ ทั้งนี้เนื่องจากมีรายงานจากประเทศมาเลเซียว่าเห็ดชนิดนี้เป็นเชื้อที่ทำให้ เกิดโรคลำต้นเน่าในต้นปาล์ม และโรครากเน่าในมะพร้าว
ส่วนประกอบของเห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือจัดเป็นพวก polypore เห็ดพวกนี้ครีบดอกมีลักษณะเป็นรูอยู่ใต้หมวกดอก ประกอบกับเห็ดหลินจือจัดเป็นเห็ดที่เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่หลายประเทศ เห็ดหลินจือที่พบในประเทศไทยมีหลายชนิด คนทั่วไปเรียกเห็ดชนิดนี้ว่า เห็ดหิ้ง ซึ่งมีลักษณะคล้ายเห็ดในสกุล Ganoderma เห็ดหิ้งบางชนิดอาจไม่ใช่เห็ดหลินจือก็ได้ตามปกติเห็ดหลินจือมีรูปร่างส่วนประกอบดังนี้
  1. หมวกดอก (cap) ดอกเห็ดหลินจือ อาจเกิดเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นกลุ่มๆ ละ 3-4 ดอก ที่มีโคนดอกติดกัน หมวกดอกที่เกิดออกมาใหม่ๆ จะมีลักษณะเป็นแท่งสีเหลือง สีของดอกเห็ดจากยอดลงมาจะมีสีขาว สีเหลืองและสีน้ำตาล ตามลำดับ ต่อมาส่วนบนของหมวกดอกจะแผ่ออกคล้ายใบพัดดอกเห็ดในขณะที่ยังอ่อนอยู่จะมีสีขาวหรือสีเหลือง กลางหมวกดอกมีสีน้ำตาล แต่ถ้าหมวกดอกเจริญเติบโตเต็มที่ ขอบหมวกจะงองุ้มลง สีของหมวกดอกจะเข้มมากขึ้น เนื้อเยื่อภายในดอกเห็ดจะมีเส้นใยสีน้ำตาล ความหนาของผิวหมวกดอกไป จนถึงรูที่อยู่ใต้หมวกดอกจะหนาประมาณ 0.2-1.0 ซม. ผิวของหมวกดอกมีลักษณะเป็นเงามันคล้ายทาด้วยแซลแลค มีสีน้ำตาลแดง หรือสีเซสนัส
  2. ครีบดอก (gills) ครีบดอกของเห็ดหลินจือ จัดเป็นพวก porypore ได้หมวกดอกมีลักษณะเป็นรูเล็กๆ สีขาวหรือสีเหลืองจำนวนมากมาย ภายในรูเป็นแหล่งกำเนิดสปอร์ เมื่อดอกเห็ดเจริญเติบโตเต็มที่จะมีการสร้างสปอร์ออกมามากมาย สปอร์บางส่วนจะปลิวตกแต่สปอร์บางส่วนจะลอยขึ้นไปปกคลุมผิวของหมวกดอก มีลักษณะเป็นผงสีน้ำตาลเมื่อนำสปอร์มาชิมดูจะพบว่ามีรสขม สปอร์ของเห็ดหลินจือมีสีน้ำตาลเป็นผง สปอร์มีรูปร่างกลมรีปลายด้านหนึ่งตัด มีผนัง 2 ชั้น ผนังชั้นนอกเรียบ ส่วนผนังชั้นในมีลักษณะคล้ายหนามยื่นออกมาชนผนังชั้นนอก
  3. ก้านดอก (stalk) เห็ดหลินจืออาจจะมีก้านดอกหรือไม่ก็โดยเฉพาะเห็ดหลินจือที่ขึ้นตามตอไม้ อาจไม่พบก้านดอกก็ได้ ก้านดอกอาจจะอยู่ถึงกลางหรือค่อนไปทางข้างใดข้างหนึ่งของหมวกดอกก็ได้
คุณสมบัติของเห็ดหลินจือในการรักษาโรค
เห็ดหลินจือเป็นเห็ดสมุนไพร ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้ผู้บริโภค มีอายุยืนนานโดยเฉพาะชาวจีนเชื่อกันว่า เห็ดหลินจือมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคมาตั้งแต่สมัยโบราณ นับเป็นพันปีๆ มาแล้ว ประกอบกับเห็ดหลินจือที่ขึ้นตามธรรมชาติมีน้อยมาก จึงทำให้เห็ดหลินจือมีราคาแพงมาก ต่อมาได้มีการศึกษาเกี่ยวกับ สรรพคุณของเห็ดหลินจือในการรักษาโรคต่างๆ อย่างกว้างขวางมีรายละเอียดพอสรุปได้ดังนี้
1. สารและประเภทของสารในเห็ดหลินจือ จากการสกัดสารต่างๆ ที่พบในเห็ดหลินจือและมีสรรพคุณในการรักษาโรคมีหลายชนิด ได้แก่
  1.  
    1. Cholestan สารพวกนี้จัดเป็นสารพวก steroid
    2. Ergosterol จัดเป็นสารพวก steroid
    3. Ganoderan จัดเป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรท
    4. Ganoderic acid จัดเป็นสารประเภทไตรเตอร์ฟีน
    5. G. lucidum antibiotic จัดเป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรท
    6. G. lucidum Polysaccharide จัดเป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรท
    7. Lucidenic acid จัดเป็นสารประเภทไตรเตอร์ฟีน
2. คุณค่าทางอาหาร เห็ดหลินจือมีสารอาหารที่พบทั่วไป หลายอย่างโดยเฉพาะแร่ธาตุพวกโพแทสเซียม แมกนีเซียม ซัลเฟอร์ วิตามิน ฯลฯ
3. สรรพคุณต่อต้านเนื้องอก จากการศึกษาค้นคว้าพบว่า เห็ดหลินจือมีสารที่สามารถต่อต้านเนื้องอก (antitumor) สารดังกล่าวคือ (1-3)-b-D glucan ซึ่งจัดเป็นสารพวก polysaccharide สารพวกนี้ยังพบในพวกเห็ดหอมและเห็ดอื่นๆ ในปริมาณที่แตกต่างกัน
4. สรรพคุณในการรักษาโรคอื่นๆ จากรายงานการวิจัยสารสกัดจากเห็ดหลินจือในการรักษาโรคชนิดต่างๆ พบว่า สารที่มีอยู่ในเห็ดหลินจือสามารถรักษา โรคแพ้ โรคความดัน โรคตับ โรคกระเพาะ ลดน้ำตาลในเลือด และเพิ่มความต้านทานโรค โดยการทดสอบกับหนู และยังมีเอกสาร รายงานว่าเห็ดหลินจือมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคการอุดตันของเส้นเลือด โรคหลอดลมอักเสบ ฯลฯ
การเพาะเห็ดหลินจือ
     เห็ดหลินจือเป็นสมุนไพรที่ชาวจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวันใช้รับประทานบำรุงสุขภาพ มา ช้านาน เห็ดชนิดนี้ราคาค่อนข้างแพงและมีรสชาดขม การเพาะทำได้ไม่ยากโดยใช้ขี้เลื่อยผสม วัสดุต่าง ๆ ดังวิธีการและขั้นตอนดังต่อไปนี้

สูตรอาหาร
1.ขี้เลื่อยไม้ยางพารา100 กิโลกรัม
 รำ 1.5 กิโลกรัม
 ดีเกลือ 0.2 กิโลกรัม
 น้ำ 60 – 65 เปอร์เซ็นต์
2.ขี้เลื่อยไม้ฉำฉา100 กิโลกรัม
 รำละเอียด 5 กิโลกรัม
 ดีเกลือ 0.2 กิโลกรัม
 ยิบซั่ม กิโลกรัม
 น้ำ 60 – 65 เปอร์เซ็นต์
3.ขี้เลื่อยไม้เบญจพรรณ 100 
กิโลกรัม
 ปูนขาว 
กิโลกรัม
 ปุ๋ยแอมโมเนียซัลเฟต 
กิโลกรัม
 น้ำ 60 – 65
กิโลกรัม
  อุปกรณ์
  1.  
    1. ถุงพลาสติกทนร้อนขนาด 7 x 3 นิ้ว หรือ 6 ½ x 12 นิ้ว
    2. คอพลาสติกสำเร็จรูป ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว สูง 1 นิ้ว พร้อมที่ครอบปิดและมีฝาปิด (ซึ่งรองด้วยกระดาษอีกชั้นหนึ่ง) หรือสำลีหรือฝาปิดแบบประหยัด
    3. ยางรัด ตะเกียงแอลกอฮอล์
    4. หัวเชื้อเห็ดในเมล็ดข้าวฟ่าง
    5. โรงเรือนพร้อมชั้นสำหรับบ่มก้อนเชื้อ และเปิดดอกแยกกัน
    6. อุปกรณ์ให้น้ำ เช่น บัวรดน้ำ สายยาง
    7. พลั่วและหม้อนึ่งไม่อัดความดัน

วิธีการทำ
     1. ผสมขี้เลื่อยและวัสดุอื่น ๆ เข้าด้วยกัน เติมน้ำลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันดี ตรวจสอบให้มีความชื้นประมาณ 60 – 65 เปอร์เซ็นต์ โดยการบีบขี้เลื่อยผสมให้แน่นแล้วคลายมือออก ขี้เลื่อยผสมควรจับตัวกันอยู่ได้ แต่ไม่ชื้นจนมีหยดน้ำไหลออกมาและไม่แห้งจนขี้เลื่อยผสมแตกร่วนเมื่อคลายมือ สำหรับสูตร 1 และ 2
     2. บรรจุขี้เลื่อยผสมในถุงพลาสติกทนร้อนประมาณ 900 กรัม/ถุง แล้วอัดให้แน่นพอประมาณ รวบปากถุงใส่คอขวดพลาสติก ดึงปากถุงพับลงรัดด้วยสายยางวงทำช่องตรงกลางถุงอาหารเจาะด้วยไม้หลุม สวมฝาครอบสำเร็จรูปและฝาปิด (ซึ่งรองด้วยกระดาษ) หรือสำลีและปิดทับด้วยกระดาษหรือฝาปิดแบบประหยัด
     3. นำถุงอาหารซึ่งเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไปเรียงในหม้อนึ่งหรือถังนึ่ง ไม่อัดความดันนึ่ง แล้วนึ่งนานประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง นับจากน้ำเดือด โดยสังเกตุจากไอน้ำที่พุ่งตรงจากรูที่เจาะไว้ที่ฝาแล้วทิ้งไว้ให้เย็น
     4. การหยอดหัวเชื้อเห็ด หัวเชื้อเห็ดนั้นจากต้องมีการเขย่าขวดเป็นระยะและก่อนจะนำมาใช้ 1 คืน ควรจะเขย่าขวดให้เมล็ดข้าวฟ่างกระจายออก ดึงจุกสำลีลนปากขวดหัวเชื้อที่เปลวไฟเทหัวเชื้อลงในถุงอาหารประมาณถุงละ 20 – 30 เมล็ด ปิดที่ครอบคอขวดไว้ตามเดิม การหยอดหัวเชื้อต้องทำในที่สะอาดและไม่มี ลมพัดผ่าน
     5. การบ่มก้อนเชื้อนำถุงที่ใส่หัวเชื้อเห็ดวางบนชั้นในแนวตั้งหรือแนวนอนก็ได้ในที่มืดจนเส้นใยเจริญเต็มถุงใช้เวลาประมาณ 1 – 1 ½ เดือน
     6. การปิดออก ดึงฝาครอบคอขวดออกแล้วนำก้อนเชื้อซึ่งเส้นใยเจริญเต็มถุงไปวางในโรงเรือนสำหรับเปิดดอกโดยวางซ้อนกัน ให้น้ำวันละ 1 – 2 ครั้ง โดยรดน้ำไปตามบริเวณพื้นและรอบ ๆ โรงเรือน อย่าให้น้ำถูกดอกเห็ด ในโรงเรือนต้องมีแสงสว่างและอากาศถ่ายเทได้ดี ดอกเห็ดจะค่อย ๆ เจริญใช้เวลามากกว่า 1 เดือน ขึ้นกับสภาพอากาศจึงจะเจริญเต็มที่ การเก็บดอกให้สังเกตบริเวณขอบของดอกจะเป็นสีน้ำตาลเช่นเดียวกัน ทั้งดอก แล้วทิ้งไว้ระยะหนึ่งจึงจะเก็บ การเก็บดอกเห็ดหลินจือต้องพยายามดึงดอกเห็ดให้หลุดออกมาทั้งหมด ผลผลิตดอกเห็ดหลินจือสดจะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมที่เพาะ โดยเฉลี่ยแล้วจะได้ผลผลิตประมาณ 50 – 100 กรัม ต่อถุงขี้เลื่อยขนาด 900 กรัม
     7. การทำแห้ง ดอกเห็ดหลินจือนิยมเก็บไว้ในสภาพแห้ง เมื่อเก็บดอกเห็ดสดมาแล้วก็ตัดส่วนปลายก้อนทิ้งเล็กน้อยแล้วล้างดอกเห็ดทิ้งให้สะเด็ดน้ำหรือไม่ต้องล้างน้ำหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ เมื่อหันเสร็จต้องรีบนำไปตากหรืออบแห้งทันที ไม่เช่นนั้นจะมีน้ำสีขาว ๆ ออกมาจะทำให้มีสีขาวติดอยู่กับเห็ด ซึ่งทำให้เห็ดเสียราคาได้
     การทำแห้งก็โดยการตากแดดจัด ๆ สัก 3 ครั้ง แล้วอบที่อุณหภูมิ 71 º ซ. เป็นเวลา 1 ชั่วโมง หรือ ใช้อบที่อุณหภูมิ 60 – 70 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 12 – 24 ชั่วโมง นำมาผึ่งให้เย็นแล้วเก็บใส่ถุงให้มิดชิด