การเพาะเห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือหรือเห็ดหมื่นปี จัดเป็นเห็ดที่มีความสำคัญอย่างหนึ่งที่มีสรรพคุณทางด้านเภสัชหรือเป็นยารักษารักษาโรค เห็ดชนิดนี้สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย แต่ชาวบ้านทั่วไปจะรู้จักในนามของเห็ดจวักงู นอกจากนี้ยังได้มีการวิจัยศึกษาว่าเห็ดนี้สามารถลดครอเรสเตอรอลในเส้นเลือดได้
จากการที่ชาวจีนส่วนใหญ่เชื่อว่าเห็ดชนิดนี้เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้ผู้บริโภคมีอายุยืนยาว จึงเรียกชื่อเห็ดพวกนี้ว่าเห็ดหลินจือ ซึ่งคนไทยเรียกว่าเห็ดหมื่นปี เพื่อให้มีความหมายสอดคล้องกับคุณสมบัติของเห็ด โครงสร้างของเห็ดชนิดนี้ จะมีลักษณะแห้งและแข็งเหมือนเนื้อไม้ ถ้าหากนำดอกเห็ดมาชุบยากันแมลง แล้วอบให้แห้งจะสามารถเก็บเห็ดชนิดนี้ได้นานนับชั่วอายุคน แต่ไม่ใช่หมายความว่าดอกเห็ดหลินจือที่เจริญเติบโตฌติบโตตามธรรมชาติจะมีอายุถึงหมืนปี
ลักษณะธรรมชาติของเห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือจัดเป็นเห็ดที่เจริญเติบโตได้ดีในธรรมชาติ โดยเจริญเติบโตตามโคนไม้ ในเขตอบอุ่นและเขตร้อน จากการศึกษาพบว่า เห็ดหลินจือเจริญเติบโตได้ดีบนตอไม้ที่ตายแล้ว โดยเฉพาะ ต้นคูน ก้ามปู หางนกยูงฝรั่ง ยางพารา ฯลฯ แต่ในบางครั้งพบว่าเห็ดชนิดนี้เป็นปรสิตของรากพืช จึงทำให้นักวิชาการหลายท่านเป็นห่วงว่า ถ้าเห็ดพวกนี้แพร่ระบาดออกไป อาจจะทำลายป่าไม้หรือทำลายพืชผลบางชนิดได้ ทั้งนี้เนื่องจากมีรายงานจากประเทศมาเลเซียว่าเห็ดชนิดนี้เป็นเชื้อที่ทำให้ เกิดโรคลำต้นเน่าในต้นปาล์ม และโรครากเน่าในมะพร้าว
ส่วนประกอบของเห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือจัดเป็นพวก polypore เห็ดพวกนี้ครีบดอกมีลักษณะเป็นรูอยู่ใต้หมวกดอก ประกอบกับเห็ดหลินจือจัดเป็นเห็ดที่เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่หลายประเทศ เห็ดหลินจือที่พบในประเทศไทยมีหลายชนิด คนทั่วไปเรียกเห็ดชนิดนี้ว่า เห็ดหิ้ง ซึ่งมีลักษณะคล้ายเห็ดในสกุล Ganoderma เห็ดหิ้งบางชนิดอาจไม่ใช่เห็ดหลินจือก็ได้ตามปกติเห็ดหลินจือมีรูปร่างส่วนประกอบดังนี้
- หมวกดอก (cap) ดอกเห็ดหลินจือ อาจเกิดเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นกลุ่มๆ ละ 3-4 ดอก ที่มีโคนดอกติดกัน หมวกดอกที่เกิดออกมาใหม่ๆ จะมีลักษณะเป็นแท่งสีเหลือง สีของดอกเห็ดจากยอดลงมาจะมีสีขาว สีเหลืองและสีน้ำตาล ตามลำดับ ต่อมาส่วนบนของหมวกดอกจะแผ่ออกคล้ายใบพัดดอกเห็ดในขณะที่ยังอ่อนอยู่จะมีสีขาวหรือสีเหลือง กลางหมวกดอกมีสีน้ำตาล แต่ถ้าหมวกดอกเจริญเติบโตเต็มที่ ขอบหมวกจะงองุ้มลง สีของหมวกดอกจะเข้มมากขึ้น เนื้อเยื่อภายในดอกเห็ดจะมีเส้นใยสีน้ำตาล ความหนาของผิวหมวกดอกไป จนถึงรูที่อยู่ใต้หมวกดอกจะหนาประมาณ 0.2-1.0 ซม. ผิวของหมวกดอกมีลักษณะเป็นเงามันคล้ายทาด้วยแซลแลค มีสีน้ำตาลแดง หรือสีเซสนัส
- ครีบดอก (gills) ครีบดอกของเห็ดหลินจือ จัดเป็นพวก porypore ได้หมวกดอกมีลักษณะเป็นรูเล็กๆ สีขาวหรือสีเหลืองจำนวนมากมาย ภายในรูเป็นแหล่งกำเนิดสปอร์ เมื่อดอกเห็ดเจริญเติบโตเต็มที่จะมีการสร้างสปอร์ออกมามากมาย สปอร์บางส่วนจะปลิวตกแต่สปอร์บางส่วนจะลอยขึ้นไปปกคลุมผิวของหมวกดอก มีลักษณะเป็นผงสีน้ำตาลเมื่อนำสปอร์มาชิมดูจะพบว่ามีรสขม สปอร์ของเห็ดหลินจือมีสีน้ำตาลเป็นผง สปอร์มีรูปร่างกลมรีปลายด้านหนึ่งตัด มีผนัง 2 ชั้น ผนังชั้นนอกเรียบ ส่วนผนังชั้นในมีลักษณะคล้ายหนามยื่นออกมาชนผนังชั้นนอก
- ก้านดอก (stalk) เห็ดหลินจืออาจจะมีก้านดอกหรือไม่ก็โดยเฉพาะเห็ดหลินจือที่ขึ้นตามตอไม้ อาจไม่พบก้านดอกก็ได้ ก้านดอกอาจจะอยู่ถึงกลางหรือค่อนไปทางข้างใดข้างหนึ่งของหมวกดอกก็ได้
คุณสมบัติของเห็ดหลินจือในการรักษาโรค
เห็ดหลินจือเป็นเห็ดสมุนไพร ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้ผู้บริโภค มีอายุยืนนานโดยเฉพาะชาวจีนเชื่อกันว่า เห็ดหลินจือมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคมาตั้งแต่สมัยโบราณ นับเป็นพันปีๆ มาแล้ว ประกอบกับเห็ดหลินจือที่ขึ้นตามธรรมชาติมีน้อยมาก จึงทำให้เห็ดหลินจือมีราคาแพงมาก ต่อมาได้มีการศึกษาเกี่ยวกับ สรรพคุณของเห็ดหลินจือในการรักษาโรคต่างๆ อย่างกว้างขวางมีรายละเอียดพอสรุปได้ดังนี้
1. สารและประเภทของสารในเห็ดหลินจือ จากการสกัดสารต่างๆ ที่พบในเห็ดหลินจือและมีสรรพคุณในการรักษาโรคมีหลายชนิด ได้แก่
-
- Cholestan สารพวกนี้จัดเป็นสารพวก steroid
- Ergosterol จัดเป็นสารพวก steroid
- Ganoderan จัดเป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรท
- Ganoderic acid จัดเป็นสารประเภทไตรเตอร์ฟีน
- G. lucidum antibiotic จัดเป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรท
- G. lucidum Polysaccharide จัดเป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรท
- Lucidenic acid จัดเป็นสารประเภทไตรเตอร์ฟีน
2. คุณค่าทางอาหาร เห็ดหลินจือมีสารอาหารที่พบทั่วไป หลายอย่างโดยเฉพาะแร่ธาตุพวกโพแทสเซียม แมกนีเซียม ซัลเฟอร์ วิตามิน ฯลฯ
3. สรรพคุณต่อต้านเนื้องอก จากการศึกษาค้นคว้าพบว่า เห็ดหลินจือมีสารที่สามารถต่อต้านเนื้องอก (antitumor) สารดังกล่าวคือ (1-3)-b-D glucan ซึ่งจัดเป็นสารพวก polysaccharide สารพวกนี้ยังพบในพวกเห็ดหอมและเห็ดอื่นๆ ในปริมาณที่แตกต่างกัน
4. สรรพคุณในการรักษาโรคอื่นๆ จากรายงานการวิจัยสารสกัดจากเห็ดหลินจือในการรักษาโรคชนิดต่างๆ พบว่า สารที่มีอยู่ในเห็ดหลินจือสามารถรักษา โรคแพ้ โรคความดัน โรคตับ โรคกระเพาะ ลดน้ำตาลในเลือด และเพิ่มความต้านทานโรค โดยการทดสอบกับหนู และยังมีเอกสาร รายงานว่าเห็ดหลินจือมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคการอุดตันของเส้นเลือด โรคหลอดลมอักเสบ ฯลฯ
การเพาะเห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือเป็นสมุนไพรที่ชาวจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวันใช้รับประทานบำรุงสุขภาพ มา ช้านาน เห็ดชนิดนี้ราคาค่อนข้างแพงและมีรสชาดขม การเพาะทำได้ไม่ยากโดยใช้ขี้เลื่อยผสม วัสดุต่าง ๆ ดังวิธีการและขั้นตอนดังต่อไปนี้
สูตรอาหาร
1. | ขี้เลื่อยไม้ยางพารา | 100 | กิโลกรัม |
รำ | 1.5 | กิโลกรัม | |
ดีเกลือ | 0.2 | กิโลกรัม | |
น้ำ | 60 – 65 | เปอร์เซ็นต์ | |
2. | ขี้เลื่อยไม้ฉำฉา | 100 | กิโลกรัม |
รำละเอียด | 5 | กิโลกรัม | |
ดีเกลือ | 0.2 | กิโลกรัม | |
ยิบซั่ม | 1 | กิโลกรัม | |
น้ำ | 60 – 65 | เปอร์เซ็นต์ | |
3. | ขี้เลื่อยไม้เบญจพรรณ | 100 |
กิโลกรัม
|
ปูนขาว | 1 |
กิโลกรัม
| |
ปุ๋ยแอมโมเนียซัลเฟต | 2 |
กิโลกรัม
| |
น้ำ | 60 – 65 |
กิโลกรัม
|
อุปกรณ์
-
- ถุงพลาสติกทนร้อนขนาด 7 x 3 นิ้ว หรือ 6 ½ x 12 นิ้ว
- คอพลาสติกสำเร็จรูป ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว สูง 1 นิ้ว พร้อมที่ครอบปิดและมีฝาปิด (ซึ่งรองด้วยกระดาษอีกชั้นหนึ่ง) หรือสำลีหรือฝาปิดแบบประหยัด
- ยางรัด ตะเกียงแอลกอฮอล์
- หัวเชื้อเห็ดในเมล็ดข้าวฟ่าง
- โรงเรือนพร้อมชั้นสำหรับบ่มก้อนเชื้อ และเปิดดอกแยกกัน
- อุปกรณ์ให้น้ำ เช่น บัวรดน้ำ สายยาง
- พลั่วและหม้อนึ่งไม่อัดความดัน
วิธีการทำ
1. ผสมขี้เลื่อยและวัสดุอื่น ๆ เข้าด้วยกัน เติมน้ำลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันดี ตรวจสอบให้มีความชื้นประมาณ 60 – 65 เปอร์เซ็นต์ โดยการบีบขี้เลื่อยผสมให้แน่นแล้วคลายมือออก ขี้เลื่อยผสมควรจับตัวกันอยู่ได้ แต่ไม่ชื้นจนมีหยดน้ำไหลออกมาและไม่แห้งจนขี้เลื่อยผสมแตกร่วนเมื่อคลายมือ สำหรับสูตร 1 และ 2
2. บรรจุขี้เลื่อยผสมในถุงพลาสติกทนร้อนประมาณ 900 กรัม/ถุง แล้วอัดให้แน่นพอประมาณ รวบปากถุงใส่คอขวดพลาสติก ดึงปากถุงพับลงรัดด้วยสายยางวงทำช่องตรงกลางถุงอาหารเจาะด้วยไม้หลุม สวมฝาครอบสำเร็จรูปและฝาปิด (ซึ่งรองด้วยกระดาษ) หรือสำลีและปิดทับด้วยกระดาษหรือฝาปิดแบบประหยัด
3. นำถุงอาหารซึ่งเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไปเรียงในหม้อนึ่งหรือถังนึ่ง ไม่อัดความดันนึ่ง แล้วนึ่งนานประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง นับจากน้ำเดือด โดยสังเกตุจากไอน้ำที่พุ่งตรงจากรูที่เจาะไว้ที่ฝาแล้วทิ้งไว้ให้เย็น
4. การหยอดหัวเชื้อเห็ด หัวเชื้อเห็ดนั้นจากต้องมีการเขย่าขวดเป็นระยะและก่อนจะนำมาใช้ 1 คืน ควรจะเขย่าขวดให้เมล็ดข้าวฟ่างกระจายออก ดึงจุกสำลีลนปากขวดหัวเชื้อที่เปลวไฟเทหัวเชื้อลงในถุงอาหารประมาณถุงละ 20 – 30 เมล็ด ปิดที่ครอบคอขวดไว้ตามเดิม การหยอดหัวเชื้อต้องทำในที่สะอาดและไม่มี ลมพัดผ่าน
5. การบ่มก้อนเชื้อนำถุงที่ใส่หัวเชื้อเห็ดวางบนชั้นในแนวตั้งหรือแนวนอนก็ได้ในที่มืดจนเส้นใยเจริญเต็มถุงใช้เวลาประมาณ 1 – 1 ½ เดือน
6. การปิดออก ดึงฝาครอบคอขวดออกแล้วนำก้อนเชื้อซึ่งเส้นใยเจริญเต็มถุงไปวางในโรงเรือนสำหรับเปิดดอกโดยวางซ้อนกัน ให้น้ำวันละ 1 – 2 ครั้ง โดยรดน้ำไปตามบริเวณพื้นและรอบ ๆ โรงเรือน อย่าให้น้ำถูกดอกเห็ด ในโรงเรือนต้องมีแสงสว่างและอากาศถ่ายเทได้ดี ดอกเห็ดจะค่อย ๆ เจริญใช้เวลามากกว่า 1 เดือน ขึ้นกับสภาพอากาศจึงจะเจริญเต็มที่ การเก็บดอกให้สังเกตบริเวณขอบของดอกจะเป็นสีน้ำตาลเช่นเดียวกัน ทั้งดอก แล้วทิ้งไว้ระยะหนึ่งจึงจะเก็บ การเก็บดอกเห็ดหลินจือต้องพยายามดึงดอกเห็ดให้หลุดออกมาทั้งหมด ผลผลิตดอกเห็ดหลินจือสดจะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมที่เพาะ โดยเฉลี่ยแล้วจะได้ผลผลิตประมาณ 50 – 100 กรัม ต่อถุงขี้เลื่อยขนาด 900 กรัม
7. การทำแห้ง ดอกเห็ดหลินจือนิยมเก็บไว้ในสภาพแห้ง เมื่อเก็บดอกเห็ดสดมาแล้วก็ตัดส่วนปลายก้อนทิ้งเล็กน้อยแล้วล้างดอกเห็ดทิ้งให้สะเด็ดน้ำหรือไม่ต้องล้างน้ำหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ เมื่อหันเสร็จต้องรีบนำไปตากหรืออบแห้งทันที ไม่เช่นนั้นจะมีน้ำสีขาว ๆ ออกมาจะทำให้มีสีขาวติดอยู่กับเห็ด ซึ่งทำให้เห็ดเสียราคาได้
การทำแห้งก็โดยการตากแดดจัด ๆ สัก 3 ครั้ง แล้วอบที่อุณหภูมิ 71 º ซ. เป็นเวลา 1 ชั่วโมง หรือ ใช้อบที่อุณหภูมิ 60 – 70 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 12 – 24 ชั่วโมง นำมาผึ่งให้เย็นแล้วเก็บใส่ถุงให้มิดชิด

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น